9 ฐานเรียนรู้
ความรู้ที่น่าสนใจ (Documents on web)
ติดต่อเรา
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
เลขที่ ๑๑๔ ซอย บี ๑๒ หมู่บ้านสัมมากร สะพานสูง กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
สำนักงาน ๐๒-๗๒๙๔๔๕๖ (แผนที่)
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง 038-198643 (แผนที่)
User login
ลิงค์เครือข่าย
ฟื้นฟูปฐพีไทยด้วยศาสตร์พระราชา ขบวนการฟื้นฟูดิน 4
หลายคนคงคุ้นเคยกับคำกลอนของคนโบราณที่ว่า ดินดีเพราะหญ้าปก ป่ารกเพราะเสือยัง เสือมีเพราะป่าบัง หญ้ายังเพราะดินดี ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์การเกื้อกูลกันของสรรพสิ่งมีชีวิตได้เป็นอย่างดี ดินดีเพราะหญ้าปก และหญ้ายังเพราะดินดี เป็นคำสอนโบราณที่เข้าใจความสัมพันธ์ลึกซึ้งของธรรมชาติที่มีชีวิตของดิน แต่ความรู้อวิชชาของเกษตรเคมีสอนให้คนฆ่าหญ้า เพราะ หญ้าเป็นวัชพืชที่แย่งอาหารของต้นไม้ ให้ถอนหญ้า ให้เปลือยดิน ดินดีไม่ได้ถ้ามีหญ้าปก จากการฆ่าหญ้า ทำร้ายดิน ก็นำมาสู่การฆ่ามนุษย์เองอย่างช้าๆ คนไทยที่เคยเป็นแชมป์เกษตรของโลกเพราะมีความรู้ของบรรพบุรุษ ทุกวันนี้หมดสภาพ ต้องกลับมาเรียนมาท่องกันใหม่ว่า ดินดีเพราะหญ้าปก กลับมาเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่กับความรู้เกษตรธรรมชาติของบรรพบุรุษว่า ดินมีชีวิต เมื่อดินมีชีวิต ก้าวแรกของเกษตรธรรมชาติก็คือให้ความรักกับดิน เลี้ยงดินเพื่อให้ดินเลี้ยงพืช
นอกจาก อนินทรีย์วัตถุ อินทรีย์วัตถุ น้ำ อากาศ แล้วยังมี สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนมากที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในดิน สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนมากนี้ หรือที่เราเรียกว่าจุลินทรีย์ในดิน คนโบราณเรียกว่า พระแม่ธรณี ที่เรียกเช่นนี้ เพราะจุลินทรีย์เหล่านี้เปรียบเสมือนแม่ที่คอยหาอาหารป้อนให้กับลูกๆ คือต้นไม้ใบหญ้า เราเคยทราบไหมว่า คนโบราณใช้หญ้าเป็นปรอทในการวัดไข้ ความเป็นกรดด่างของดิน นี่เป็นภูมิปัญญาที่ล้ำเลิศของบรรพบุรุษเรา ดินที่เป็นกลางจะประกอบด้วยจุลินทรีย์ ที่เรียกว่า จุลินทรีย์อีแร้ง ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ดี จะชอบกินของที่ตายแล้วเท่านั้น เช่นซากพืช ซากสัตว์ และย่อยของที่ตายแล้วให้เป็นอาหารของพืชโดยไม่ทำร้ายพืช ส่วนดินที่เป็นกรดจะประกอบด้วย จุลินทรีย์ประเภทเสือ คือชอบกินของสด กินของมีชีวิต เช่น เซลเนื้อเยื่อของต้นไม้ ซึ่งก็คือที่มาของโรคพืชนั่นเอง จุลินทรีย์ประเภทนี้ยังชอบกินเซลที่มีชีวิตของคนและสัตว์ เมื่อเราสัมผัสดินที่เป็นกรด เราจึงเกิดแผล นอกจากความรู้ลึกซึ้งเรื่องดิน สิ่งมีชีวิตในดิน คนโบราณยังรู้ด้วยว่า หญ้า สำคัญอย่างไรกับดิน เพราะหญ้า ทำให้ดินมีโพรงอากาศ 25 % และเมื่อหญ้าตาย รากจะเน่าเปื่อย เป็นอาหารกับไส้เดือน และไส้เดือนก็จะทำให้ดินร่วนซุย มีโพรงอากาศที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญให้สิ่งมีชีวิตในดินขยายตัว ทำหน้าที่เป็น แม่ หาเลี้ยงอาหารให้ลูกๆ ที่เป็นต้นไม้ได้อย่างเต็มที่
เราลองมาดูกันว่า สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในดินทำงานกันอย่างไร ลึกลงไปในดินที่ตามนุษย์มองไม่เห็นแต่เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเป็นโลกของสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมายที่กำลังกัดกินซากพืช ซากสัตว์ ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์เหล่านี้ให้เป็นดิน ในกระบวนการย่อยใบไม้ใบหญ้าจะมีสัตว์เล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในดินทำหน้าที่กัดกินย่อยซากใบไม้ใบหญ้าก่อน แล้วตามด้วยเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ใบไม้ใบหญ้าที่ทับถมกันจะทำให้ไส้เดือนมาอาศัย ช่วยคลุกเคล้าให้ดินร่วนซุยขึ้น ในกระบวนการสุดท้ายของการย่อยสลายจะเกิดเป็นฮิวมัสในดิน รอบๆ ฮิวมัสจะมีเชื้อจุลินทรีย์อย่างมากมาย ลักษณะโครงสร้างของดินที่มีฮิวมัสอยู่มาก จะเกิดการเกาะกลุ่มของอนุภาคในดิน สิ่งที่ส่งเสริมการเกาะยึดของอนุภาคดินคือสารเหนียวประเภทคาร์โบไฮเดรดที่เกิดจากจุลินทรีย์ โครงสร้างของดินที่มีโพรงมากจะสามารถดูดซับธาตุอาหาร พืช น้ำ และมีการถ่ายเทอากาศดี ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจะมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์กับจุลินทรีย์ เป็นผลให้เกิดกิจกรรมต่างๆ มากมายของจุลินทรีย์ในดิน ดินที่มีความสมดุลจะมีจุลินทรีย์ประเภทต่างๆ อยู่มาก และเมื่อวิเคราะห์ทางเคมีแล้วจะพบว่ามีสารอาหารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพืชมากมาย ในทางตรงข้ามดินที่ไม่สมบูรณ์ เช่นดินที่มีการใช้สารเคมีในปริมาณมาก และเป็นระยะเวลานาน จะมีอินทรีย์วัตถุอยู่น้อย เกาะกันเป็นก้อนแข็ง มีโพรงอากาศน้อย และเกิดการชะล้างหน้าดินได้ง่าย และเมื่อวิเคราะห์ทางเคมีก็พบว่ามีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์อยู่น้อยมาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคพืชต่างๆ มากมาย ฉบับหน้าเรามาว่ากันต่อว่า ดินที่สมบูรณ์ป้องกันโรคพืชได้อย่างไร